
วันนี้โชคดีที่ได้มีโอกาสมาชมการแสดงละครเวทีเรื่อง “เสน่ห์ รอยร้าว” หรือ “broken violin”
โดยได้รับเชิญจากครูเล็ก ภัทราวดี (ศิลปินแห่งชาติ) ซึ่งได้ผมได้เคยมีโอกาสร่วมงานกับท่านในสมัยที่เรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆ
ด้วยความที่ไม่ได้มาดูละครของที่นี่นานแล้ว พอได้มาก็ทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ และระหว่างที่ดู ผมก็ได้รับพลังบวก และข้อคิดต่างๆ มากมายจากการดูละครเรื่องนี้มากมาย
เอาหล่ะ เล่าเลยละกัน
เปิดเรื่องด้วยการเล่นไวโอลินไปด้วยสเก็ตไปด้วย แบบว่าว้าวมากจ้าา ที่สำคัญคือ สียังไง ให้เสียงไม่ตกเลยขณะที่กำลังเล่นสเก็ตบอร์ด แบบนึกถึงตัวเอง ถ้าสีซอไปด้วย เล่นอะไรพวกนี้ไปด้วย ภาพน่าจะตลกดีพิลึก แต่พี่คนนี้แบบว่า เท่ห์มาก ทำให้นึกถึงแต่ก่อนตอนที่อยู่กับครูเล็กใหม่ๆ ครูชอบว่าผมว่า ไอ้ป่าน มึงจะสีซออย่างเดียวไม่แสดงอย่างอื่นเลยเหรอ???? ตอนนั้นก็ได้แต่คิดว่า แล้วจะให้ทำอะไรฟระ พอมาเห็นวันนี้แบบว่า ว้าวมากกกกก😊😊
แต่ความโดนของเรื่องนี้มันอยู่นี้ ปรัชญาแต่ละอย่างที่ซ่อนอยู่ในเรื่องครับ โดย
เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากนักไวโอลินคนนึงจะเอาไวโอลินที่พังแล้ว เพราะเหลือสายเพียง 3 สายไปทิ้ง แต่ก่อนทิ้ง เค้าได้ลองหยิบไวโอลินตัวนั้นมาบรรเลงอีกครั้งด้วยฝีมือทั้งหมดที่มี ทำให้ไวโอลินที่พังตัวนี้กลับมาแปล่งเสียงได้อย่างไพเราะน่าฟัง จากนั้นพระเอกของเราก็ได้นำไปบันทึกเสียงจนเป็นที่รู้จักของผู้คน (ถ้าฟังไม่ผิดก็ประมานนี้)
จำได้ว่าตอนเด็กๆ ไอ้เราก็คนซอด้วงเนอะ. ถ้าวันไหนได้สีซอที่แบบว่า เก่าๆ พังๆ หน่อย ก็จะหงุดหงิด แต่สิ่งที่ดีคือ พอเสียงซอมันออกมาไม่ดีก็จะมีข้ออ้างได้ว่า ซอมันห่วยอ่ะ บางวันตอนไม่ซ้อมมาก็จะแกล้งหยิบซอห่วยๆ ไปสีให้อาจารยน์ดู แล้วก็บอกว่า ซอมันห่วยครับครู แต่ครูก็รู้ทันทุกทีแหล่ะ 55555 สุดท้ายก็โดนครูโบก
ตัดกลับมาละครเรื่องนี้ที่น่าชื่นชม แบบว่าผมนั่งนำ้ตาซึมเลย คือ ครูเล็กนำเด็กที่มีปัญหา ติดยา ติดคุก อยู่สถานอบรมความประพฤติ บ้านกาญจนา มาแสดง โดยพยายามสะท้อนให้เห็นว่าเด็กเหล่านี้เปรียบเสมือนกับ ไวโอลินที่กำลังแตกหัก กำลังจะถูกทิ้ง ไม่มีใครสนใจ การมีใครสักคนยื่นมือเข้ามาช่วย เข้าใจเขา สอน และผลักดันในความสามารถของเขา จะช่วยทำให้เขาคิดได้ พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาก็จะกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้
ประเด็นชวนคิดคือ ศิลปินที่จะบรรเลงเครื่องดนตรีเน่าๆ ผุๆ พังๆ เตรียมจะถูกโยนทิ้งให้ไพเราะได้ ต้องเป็นศิลปินที่มีฝีมือ ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็ทำได้
ดังนั้น คนที่จะทำให้เด็กๆ ที่เหมือนจะอยู่ในสภาพแตกหักทางจิตใจเหล่านี้ กลับมามีชีวิตได้ ย่อมต้องใช้ฝีมือ จิตวิญญา ความเข้าใจ ไม่ใช่ใครๆ ก็จะทำได้. แค่ประเด็นนี้ผมก็นั่งอึ้ง ไปนานเลย
ปกติเห็นการแสดงปกติแล้วผมมักจะนึกถึงความเหนื่อยยากของคนเบื้องหลังเสมอ เจอละครเรื่องนี้เข้าไป ผมนี่นึกเลยว่าคนที่สอนให้เด็กๆ เหล่านี้มาทำการแสดงแบบนี้ได้นี่ต้องใช้หัวจิต หัวใจ แค่ไหนกันนะ นับถือและคารวะทุกคนที่เกี่ยวข้องจริงๆ ครับ จริงๆ ยังมีความประทับใจอื่นๆ อีกมากมาย แต่วันนี้ขับรถทั้งวันหมดแรงแล้ว เอาไว้วันหลังมาเล่าแล้วกันนะครับ
Comments